Tuesday, February 22, 2005

forward mail

วันนี้ว่าจะไม่เขียน Blog แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เคยคิดไว้ว่าจะไม่เอา forward mail มาลงด้วย. แต่ไอ้นอส่งเรื่องนี้มาให้อ่าน อยากแบ่งให้คนอื่นอ่านด้วย อ่านไม่จบแช่งให้กินข้าวไม่อร่อย เดือนนึง หึ หึ .
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เพราะวันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง มันเป็นไอเดียของเธอล้วนๆ จริงๆ นะ

"ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ" ภรรยาผมว่า
"แต่ผมรักคุณนี่" ผมเถียง
"ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน"

ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ แม่ของผมเองซึ่งเป็นหม้ายมา 19 ปีแล้ว เนื่องจากงานที่รัดตัวและต้องดูแลลูก ๆ ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น วันที่ผมโทรไปหาแม่เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง

แม่ถามว่า "มีอะไรหรือ? ลูกสบายดีรึเปล่า?" แม่ผมเป็นผู้หญิงประเภทที่คิดว่าการที่คนโทรมาหากลางดึกหรือเชิญอย่างกระทันหันหมายความว่ามีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
ผมตอบแม่ว่า "ผมว่าดีออกถ้าเราได้ใช้เวลากันตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง"
แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า "แม่ยินดีมากเลยจ้ะ"

เย็นวันศุกร์หลังเลิกงานผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตุได้ว่า แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผม แล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์

"แม่บอกเพื่อนๆ ว่าแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกชายพวกเขาประทับใจกันใหญ่"
แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถพร้อมกับพูกว่า "พวกเขารอฟังแทบไม่ไหวเลย"

เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยมและบรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร เพราะสายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น เมื่อผมอ่านเมนูอองเทรไปได้เพียงครึ่ง ผมเงยขึ้นมองเห็นแม่กำลังมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง
"ตอนที่ลูกยังเล็กนั้น แม่ต้องเป็นคนอ่านเมนูให้ลูกฟัง" แม่ว่า
"งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบายๆ บ้าง" ผมตอบ
ในระหว่างมื้ออาหารนั้น เราคุยกันอย่างถูกคอ ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเราเป็นยังไงทำอะไรที่ไหนมาบ้าง เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน
แม่พูดว่า "แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ"
ผมตอบตกลง
"ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง?" ภรรยาถามเมื่อผมกลับถึงบ้าน
"ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย" ผมตอบ
ไม่กี่วันต่อมา . . . แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย
หลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป มีโน๊ตเล็กๆ แนบมาด้วยว่า

"แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามแม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือลูกกับภรรยา ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน, รักลูกจ้ะ "

วินาทีนั้น ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า "รัก"

ต่อคนที่เรารักในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมันไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

บางคนบอกว่า หลังจากที่คุณคลอดบุตรแล้วต้องใช้เวลา ราว 6 สัปดาห์จึงจะคืนสู่สภาพเดิม - คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป
บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ - คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต
บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ - คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับหลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาด ๆ
บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง - คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน
บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก - คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมาทันได้เห็นลูกหวดลูกกอล์ฟเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี
บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้ - คนนั้นไม่เคยช่วยลูกประถมสี่ทำการบ้านเลข
บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก - คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน
บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่คือตอนเลี้ยงและตอนคลอด - คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมลไปโรงเรียนอนุบาลวันแรกหรือขึ้นเครื่องบินไปบู๊ทแคมป์ของทหาร
บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมูๆ ปิดตาสองข้างหรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไหว - คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายคุ๊กกี้ให้กับเหล่ายุวนารี 7 คนที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา
บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป - คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือ การนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่
บางคนบอกว่างานของแม่สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป - คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า
บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้นไม่ต้องบอกท่านก็ได้ - คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
อ่านจบแล้วเป็นงัยกันบ้าง กูอ่านแล้วน้ำตาซึมอีกแล้ว ชีวิตผมอะนะ ผมอยากจะมีครอบครัวที่น่ารัก ผมอยากมีพ่อ แม่ อยากกินข้าวเย็นพร้อมหน้า พร้อมตากัน เหมือนในละคร ผมไม่อยากเข้มแข็งหรอก ผมอยากเป็นลูกแหง่ ให้พ่อ แม่ มาเอาใจ มันทำให้ผมกลายเป็นคนขาดความรัก. . .ป่าววะ (สาว ๆ มารักผมหน่อย ^^) เลยชอบให้คนมาเอาใจ แต่ก็ช่างเหอะชีวิตช่วงนั้นแม่งผ่านมาแล้ว ก็ต้องเข้มแข็งกันต่อไป แต่อย่ามาทำให้กูสะเทือนใจอีก (ไอ้นอ มึง เด๋วโดนคืน)

ไปทำงานต่อละ คืนนี้อีกยาว

ปล. จรืง ๆ แล้ว มีเรื่องอยากมาใส่ใน blog เพียบเลย ก่อนที่มันจะหายไปจากรอยหยักบนหัว

Labels:

2 Comments:

At 23/2/05 8:23 PM, Anonymous Anonymous said...

อ่านแล้วสงสารพี่ 1 มากกว่าอีกอะ ทำงานหนักมากๆ พักผ่อนบ้างนะพี่

 
At 27/2/05 12:46 PM, Blogger Nng said...

มีแต่คนบอกว่าอ่านแล้วทั้งนั้น . . . ใช่สิ ผมมันหน้าตาดีนิ


(เกี่ยวมั้ย)

 

Post a Comment

<< Home